Health

  • คะน้า บำรุงสายตา มีสารอาหารสูงและต้านโรคได้
    คะน้า บำรุงสายตา มีสารอาหารสูงและต้านโรคได้

    คะน้า อาหารบำรุงสายตา มีสารอาหารสูง

    คะน้า มีสารอาหารต่างๆ ที่มีประโยชน์

    คะน้า เป็นแหล่งวิตามินและแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายนานาชนิด ซึ่งคะน้าสด 1 ถ้วยจะอุดมไปด้วยสารอาหารต่าง ๆ ดังนี้

    • วิตามินเค 684 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณวิตามินเคที่แนะนำให้ได้รับในแต่ละวัน
    • วิตามินเอ  206 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณวิตามินเอที่แนะนำให้ได้รับในแต่ละวัน
    • วิตามินซี 134 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณวิตามินซีที่แนะนำให้ได้รับในแต่ละวัน
    • แมงกานีส 26 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณแมงกานีสที่แนะนำให้ได้รับในแต่ละวัน
    • ทองแดง 10 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณทองแดงที่แนะนำให้ได้รับในแต่ละวัน
    • วิตามินบี 6 9 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณวิตามินบี 6 ที่แนะนำให้ได้รับในแต่ละวัน
    • แคลเซียม 9 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณแคลเซียมที่แนะนำให้ได้รับในแต่ละวัน
    • โพแทสเซียม 9 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณโพแทสเซียมที่แนะนำให้ได้รับในแต่ละวัน
    • แมกนีเซียม 6 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณแมกนีเซียมที่แนะนำให้ได้รับในแต่ละวัน

    นอกจากนี้ ยังประกอบไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่อาจช่วยป้องกันความเสียหายของเซลล์ และลดความเสี่ยงการเกิดโรคบางชนิด โดยสารต้านอนุมูลอิสระที่พบปริมาณมากในคะน้า คือ เควอซิทิน (Quercetin) และแคมป์เฟอรอล (Kaempferol) ซึ่งจากการศึกษาพบว่าสารเหล่านี้มีคุณสมบัติต้านการอักเสบและต้านไวรัสได้

    คะน้ามีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายด้าน

    ผักใบเขียวที่มีสารอาหารสำคัญทางโภชนาการมากมาย จึงมีการกล่าวอ้างคุณสมบัติที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพของคะน้าในการช่วยบำรุงและรักษาปัญหาสุขภาพอย่างแพร่หลายด้วย โดยมีการศึกษาสรรพคุณทางยาของคะน้าในแง่มุมต่างๆ ดังนี้

    • คะน้ากับการบำรุงสายตา

    อายุที่เพิ่มมากขึ้นส่งผลให้ความสามารถในการมองเห็นเสื่อมสภาพลงเรื่อยๆ ทว่าสารอาหารบางประเภทในคะน้าอาจช่วยป้องกันและชะลอการเกิดโรคทางสายตาได้ เช่น ลูทีน (Lutein) และซีแซนทิน (Zeaxanthin) เป็นต้น โดยมีงานวิจัยหนึ่งศึกษาแหล่งอาหารของลูทีนและซีแซนทินในด้านประสิทธิผลต่อสุขภาพตา พบว่ามีสารในตระกูลแคโรทีนอยด์อย่างลูทีนและซีแซนทินเป็นปริมาณมากในผักใบเขียวอย่างคะน้า ผักโขม และบร็อคโคลี่ โดยพบอัตราส่วนของสารดังกล่าวในคะน้ามากที่สุดเมื่อเทียบกับผักใบเขียวชนิดอื่น ซึ่งสารเหล่านี้อาจช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคต้อกระจกและโรคจอประสาทตาเสื่อมได้ อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันคุณสมบัติของคะน้าในการบำรุงสายตาให้ชัดเจนยิ่งขึ้นต่อไป

    • คะน้ากับการลดระดับคอเลสเตอรอล

    ระดับไขมันคอเลสเตอรอลในเลือดที่สูงเกินไปอาจทำให้เสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดแดงแข็งและโรคหัวใจได้ เนื่องจากคอเลสเตอรอลจะเกาะตัวกันบนผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดตีบแคบจนอาจส่งผลให้เลือดไหลเวียนได้ไม่สะดวกและเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่เพียงพอ หลายคนเชื่อว่าคะน้าเป็นผักชนิดหนึ่งที่อาจมีส่วนช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้ โดยมีงานวิจัยหนึ่งให้ผู้ป่วยเพศชายที่มีภาวะไขมันในเลือดสูงจำนวน 32 คน ดื่มน้ำคะน้าปริมาณ 150 มิลลิลิตรเป็นประจำทุกวันติดต่อกันนาน 12 สัปดาห์ พบว่าน้ำคะน้าช่วยเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลชนิดที่ดีต่อร่างกาย (High-Density Lipoprotein: HDL) ได้ 27 เปอร์เซ็นต์ และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดที่ไม่ดี (Low-Density Lipoprotein: LDL) ได้ถึง 10 เปอร์เซ็นต์

    ส่วนการทดลองอีกชิ้นหนึ่งพบว่า ผักคะน้านึ่งช่วยเพิ่มความสามารถในการจับกรดน้ำดีในระบบย่อยอาหาร ซึ่งส่งผลให้ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดลดลง จึงคาดว่าการรับประทานคะน้านึ่งอย่างสม่ำเสมออาจช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดได้

    แม้มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับสรรพคุณในการลดระดับไขมันคอเลสเตอรอลของคะน้า แต่งานทดลองเหล่านี้ล้วนเป็นการทดลองขนาดเล็กในหลอดทดลองเท่านั้น จึงจำเป็นต้องศึกษาค้นคว้าถึงประสิทธิผลในด้านนี้เพิ่มเติม และอาจทดลองประสิทธิภาพในคน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและเป็นประโยชน์ต่อไปในอนาคต

    • คะน้ากับการป้องกันมะเร็งเต้านม

    มะเร็งเต้านมเกิดจากความผิดปกติของเซลล์ภายในเต้านมจนกลายเป็นก้อนเนื้อร้าย แม้โรคนี้จะพบได้มากในเพศหญิงแต่ก็สามารถพบได้ในเพศชายเช่นกัน จึงควรให้ความสำคัญกับการตรวจสุขภาพและตรวจเต้านมเป็นประจำ ซึ่งคะน้าอุดมไปด้วยสารประกอบอย่างอินโคล-3-คาร์ฟินอล (Indole-3-Carbinol) และซัลโฟราเฟน (Sulforaphane) ที่เชื่อว่าอาจมีฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็งได้ โดยมีการศึกษาชิ้นหนึ่งชี้ให้เห็นว่า ซัลโฟราเฟนอันเป็นสารประกอบที่พบในผักตระกูลกะหล่ำปลี เช่น คะน้า บร็อคโคลี่ และกะหล่ำดาว เป็นต้น อาจมีคุณสมบัติต้านมะเร็งและช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็งเต้านมได้ สอดคล้องกับการศึกษาประสิทธิภาพของผักตระกูลกะหล่ำปลีต่อโรคมะเร็งในหลายงานวิจัยที่ผ่านมา ซึ่งพบว่าสารประกอบอินโคล-3-คาร์ฟินอล และซัลโฟราเฟนในผักตระกูลกะหล่ำปลีมีอิทธิพลต่อตัวรับเอสโตรเจนในเซลล์มะเร็งเต้านม จึงอาจช่วยป้องกันมะเร็งเต้านมได้

    อย่างไรก็ตาม ยังคงจำเป็นต้องศึกษาคุณสมบัติในด้านนี้กับผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมเพิ่มเติมต่อไป โดยควรค้นคว้าทั้งด้านประสิทธิผลทางการรักษาป้องกันโรคตลอดจนความปลอดภัยในการบริโภคคะน้าในผู้ป่วยกลุ่มนี้ เพื่อให้สามารถนำประโยชน์ของคะน้าไปประยุกต์ใช้ในการต้านมะเร็งในอนาคต

    คะน้า

    ผัก ผลไม้ 10 ชนิด ช่วยบำรุงสายตา

    1. ผักบุ้ง เป็นผักที่ช่วยบำรุงสายตาได้ดีมาก มีทั้งวิตามิน A และวิตามิน C รวมถึงเบต้า-แคโรทีน เป็นวิตามินที่ช่วยป้องกันมะเร็งได้อย่างดี นอกจากผักบุ้งจะวิตามินแล้ว ผักบุ้งยังมีเกลือแร่ มีธาตุเหล็กที่ช่วยบำรุงเลือดได้อีกด้วย
    2. แครอท ประกอบด้วยสารเบต้าแคโรทีน วิตามิน และแร่ธาตุอื่นอีกหลายชนิด เบต้าแคโรทีนคือ วิตามินเอ สามารถช่วยในการบำรุงรักษาดวงตาได้ดี วิตามินเอเป็นตัวช่วยให้มีผิวดี อีกทั้งยังสามารถช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรคต่าง ๆ เช่น มะเร็งได้
    3. ผักตำลึง ผักริมรั้วอย่างตำลึงมีเบต้าแคโรทีน สารกลุ่มแคโรทีนอยด์ ที่ช่วยทำหน้าที่กรองแสงให้กับดวงตาได้อย่างดี
    4. ผักคะน้า คะน้ามีสารต้านอนุมูลอิสระ คือวิตามินซีและเบต้าแคโรทีน มีวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตาได้อีกด้วย
    5. ฟักทอง สามารถช่วยบำรุงสายตาได้ดี อีกทั้งยังดูแลผิวพรรณ การย่อยอาหาร ตับ ไต สร้างเซลล์ใหม่แทนเซลล์เก่า แว่ว ๆ มาว่า ฟักทองสามารถช่วยต้านมะเร็งได้ดีเช่นกัน
    6. มะละกอ ผลไม้หาง่ายตัวนี้ อุดมด้วยวิตามินเอ บี1 บี2 แคลเซียม และเบต้าแคโรทีน สารต้านอนุมูลอิสระ เมื่อรับประทานจะบำรุงผิวพรรณดี ลดริ้วรอยก่อนวัย และบำรุงสายตาได้ดี
    7. เสาวรส ผลรสไม้เปรี้ยวอมหวานมีวิตามินเอสูงมากๆ ช่วยในการทำงานของจอประสาทตาได้ดีขึ้น อีกทั้งพบว่ามีวิตามินซีมากกว่ามะนาว จึงช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรคได้
    8. ส้ม ส้มอุดมด้วยวิตามิน ซี เมื่อรับประทานเป็นประจำ ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นต้อได้
    9. เบอร์รี่สีดำ ผลเบอร์รี่มีประโยชน์โดยตรงกับดวงตา อุดมด้วยสารแอนโทไซยานิน ช่วยปกป้อง ชลอการเกิดต้อ และ ชลอการเกิดจอประสาทตาเสื่อม
    10. มะมุ่วงสุก อุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี ฟอสฟอรัส ใยอาหาร นอกเหนือจากสามารถบำรุงสายตาแล้ว ยังบำรุงเหงือกและฟัน ช่วยให้ผิวพรรณสดใส ลดสิวและริ้วรอยก่อนวัยได้เป็นอย่างดี

    7 อาหารบำรุงสายตา แก้อาการเมื่อยล้าจากจอมือถือ

    1. ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่

    ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่เป็นกลุ่มผลไม้รสเปรี้ยวฉ่ำอมหวาน เป็นแหล่งของวิตามินซีมหาศาล เช่น โกจิเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ สตรอเบอร์รี่ แบล็กเบอร์รี่ มัลเบอร์รี่(ลูกหม่อนของไทย) เป็นต้น

    มีสารสำคัญอย่างสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยบำรุงสายตาโดยตรง ช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์ดวงตาถูกทำลาย ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดความเสื่อมของจอประสาทตาและลดการเกิดต้อกระจกได้

    2. ผักใบเขียว

    ผักใบเขียว เช่น ผักบุ้ง ตำลึง กวางตุ้ง คะน้า ฯลฯ ผักเหล่านี้ล้วนอุดมไปด้วยสารสำคัญอย่าง ลูทีนและซีแซนทีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอย่างหนึ่ง จากการศึกษาพบว่าช่วยลดความเสื่อมของจอประสาทตาและการเกิดต้อกระจกได้

    3. ไข่

    ไข่แดงเป็นแหล่งของสารอาหารลูทีน และซีแซนทีน รวมไปถึง ซิงค์ ด้วย ทั้งหมดนี้ช่วยลดความเสี่ยงของการเสื่อมของจอประสาทตา ทำให้เซลล์ต่างๆ ในดวงตาแข็งแรงอยู่เสมอ

    4. แครอท

    เป็นผักหัวใต้ดินที่มีคุณประโยชน์อันดับต้นๆ ของโลกเลยก็ว่าได้ แครอท ขึ้นชื่อว่าเป็นอาหารบำรุงสายตาชั้นเยี่ยม อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน วิตามินเอ และลูทีน ช่วยดูแลสุขภาพดวงตาของคุณให้สดใสแข็งแรงอยู่เสมอ ช่วยบำรุงกระจกตา ป้องกันไม่ให้เซลล์ดวงตาถูกทำลายจากแสงแดดและรังสีอันตรายต่างๆ ช่วยส่งเสริมการทำงานของจอประสาทตา ไม่ให้เสื่อมสภาพก่อนวัยอันควร

    5. อะโวคาโด

    มาต่อกันที่ผลไม้รสนุ่มนวลอย่าง อะโวคาโด เจ้านี้มีประโยชน์ในการบำรุงสายตามากๆ เลย เพราะมีสารอาหารจำเป็น เช่น ลูทีน เบต้าแคโรทีน วิตามินบี 6 และวิตามินซี โดยจะช่วยบำรุงสายตา ป้องกันอาการตาฝ้าฟาง ช่วยชะลอการเสื่อมสภาพดวงตาที่ร่วงโรยไปตามวัย

    6. อัลมอนด์

    ในอัลมอนด์อุดมไปด้วยวิตามินอี ซึ่งผลการวิจัยพบว่าช่วยชะลอความเสื่อมของจอประสาทตา แค่ทานวันละหนึ่งฝ่ามือ ก็ได้รับวิตามินอีถึงครึ่งหนึ่งของปริมาณที่แนะนำต่อวันแล้ว

    7. ปลาที่มีไขมันสูง

    จากการศึกษาทางการแพทย์ทั้งในและต่างประเทศ พบว่า ปลาที่มีไขมันประเภทดีอยู่จำนวนมาก เช่น ปลาทูน่า ปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล ปลาแอนโชวี่ ปลาเทราต์ ปลาสวาย ฯลฯ ปลาพวกนี้อุดมไปด้วยกรดไขมัน DHA ซึ่งเป็นกรดไขมันที่พบได้มากในเรตินาของดวงตา ดังนั้นมันจึงตรงเข้าไปซ่อมแซมดวงตาของเราให้กลับมาสดใส มีน้ำหล่อลื่นเพียงพอ และยังช่วยห่างไกลจากโรคตาแห้งอีกด้วย

    จะเห็นว่านอกจากคะน้า ยังมีผัก ผลไม้ หลายชนิดที่กล่าวไว้ข้างต้น หาได้ตามรั้ว ตามสวน ที่บ้านของเรา หรือบางชนิดอาจจะต้องซื้อ แต่ก็ไม่เป็นไร อย่างไหนปลูกได้ก็ปลูกกันไป ตามความเหมาะสม เพราะทุกอย่างไม่เพียงแต่มีประโยชน์ต่อสายตา แต่ยังให้คุณค่าทางอาหารต่อร่างกายอีกด้วย

    ที่มา

     

    ติดตามอ่านเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพได้ที่  tremollett.com

    สนับสนุนโดย  ufabet369

Economy

  • ภาษีมูลค่าเพิ่ม 2 อัตรา คืออะไร
    ภาษีมูลค่าเพิ่ม 2 อัตรา คืออะไร

    เมื่อไม่นานมานี้ มีกระแสข่าวว่า สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลังกำลังศึกษาแนวทางการจัดเก็บ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ระบบ 2 อัตรา คือ เก็บที่ 7% กับสินค้าทั่วไป และเก็บมากกว่า 7% กับสินค้าฟุ่มเฟือย โดยการศึกษาเรื่องนี้ทำมาระยะหนึ่งแล้ว และคาดว่าถ้าจัดเก็บภาษีแบบนี้จะช่วยเพิ่มรายได้ให้ภาครัฐได้ถึง 1 แสนล้านบาท

    ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT คืออะไร ? เก็บ 2 อัตรา ได้มั้ย?

    เป็นภาษีที่ภาครัฐเรียกเก็บจากผู้ประกอบการที่ขายสินค้าหรือบริการในแต่ละขั้นตอนการผลิตและจำหน่าย ทั้งที่ผลิตในประเทศและที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ โดยผู้ประกอบการไปเก็บต่อจากผู้ซื้ออีกที (ภาษีทางอ้อม)

    การเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเริ่มถูกใช้อย่างแพร่หลายในฝรั่งเศส ปี 1954 โดย Maurice Laure’ หรือบิดาแห่งระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นคนเอาแนวคิด VAT ในเยอรมัน มาสร้างเป็นระบบในฝรั่งเศส  และปลายศตวรรษที่ 1960 มีประเทศที่นำระบบ VAT ไปใช้น้อยกว่า 10 ประเทศเอง

    ด้านไทยเริ่มจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ครั้งแรกในวันที่ 1 ม.ค. 2535 ในอัตรา 10% และหลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 มีการออกพระราชกฤษฎีกา ลดอัตราภาษี VAT เหลือ 7% เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชน โดยเปิดช่องไว้ว่าจะพิจารณาทุก ๆ 2 ปี แต่จนถึงปี 2565 ก็ยังเก็บ 7% อยู่ (มีผลถึง 30 ก.ย. 2566) นั้นหมายความว่า ไทยมีโอกาสที่จะปรับปรุงโครงสร้างการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม

    อย่างไรก็ตาม ก.ย. 2565 ทางสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลังกำลังศึกษาแนวทางการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ระบบ 2 อัตรา คือ

    อัตราที่ 1 เก็บที่ 7% สินค้าทั่วไป

    อัตราที่ 2 เก็บมากกว่า 7% สินค้าฟุ่มเฟือย

    ซึ่งก็ยังไม่ได้ประกาศเเนวทางที่ชัดเจน เเต่หากทางรัฐบาลดำเนินการจัดเก็บภาษีแบบนี้คาดว่าจะช่วยเพิ่มรายได้ให้ภาครัฐได้ถึง 1 แสนล้านบาท จากข้อมูลผลการจัดเก็บรายได้ภาษี ตามปีงบประมาณ 2565 ช่วงเวลา ต.ค. 2564 – ส.ค. 2565 คือ 849,625 ล้านบาท ส่วนปีงบประมาณ 2564 ช่วงเวลา ต.ค. 2563 – ก.ย. 2564 คือ 793,243 ล้านบาท

    ภาษีมูลค่าเพิ่ม 1

    ผู้ประกอบการแบบไหนต้องจดทะเบียน VAT ?

    มียอดขายเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องจดทะเบียน VAT เพื่อเรียกเก็บภาษีจากผู้ซื้อนำส่งกรมสรรพากร

    (ถ้าเป็นกิจการที่กฎหมายยกเว้นก็ไม่ต้องจด VAT)

    สูตรคำนวณ VAT

    VAT = ราคาสินค้าหรือบริการ X 7%

    ภาษีมูลค่าเพิ่ม 2 อัตรา กับรายได้ของรัฐบาล

    ต้องบอกว่า VAT ก็เป็นช่องทางรายได้อย่างหนึ่งของภาครัฐ ซึ่งตัวแปรสำคัญที่ประเทศต่าง ๆ ใช้พิจารณาว่าจะจัดเก็บภาษี VAT เท่าไหร่ ก็คือ สถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศของตัวเอง บวกกับสถานการณ์การจัดเก็บรายได้ของภาครัฐ

    โดยหลังจัดเก็บภาษี VAT มาแล้ว เงินเหล่านี้ก็จะถูกนำกลับมาหมุนเป็นงบประมาณแผ่นดิน เพื่อสวัสดิการของประชาชน การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงการพัฒนาประเทศชาติในด้านต่าง ๆ

    คราวนี้ถ้าลองวิเคราะห์แนวคิดการเก็บ VAT 2 อัตรา คือ ถ้าเป็นสินค้าทั่วไปเก็บ 7% สินค้าฟุ่มเฟือยเก็บมากกว่า 7% มองว่า ผู้ที่ได้รับผลกระทบไปเต็ม ๆ ก็คือ ผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าฟุ่มเฟือย ก็ต้องจ่ายค่าสินค้าแพงขึ้นกว่าเดิมอีก สมชื่อคำว่า “ฟุ่มเฟือย” ส่วนรัฐบาลก็จะมีโอกาสหารายได้ภาษีเข้าประเทศได้มากขึ้น จากรายได้ VAT ส่วนของสินค้าฟุ่มเฟือยที่เพิ่มขึ้น

    ทั้งนี้ ถึงแม้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จะออกมาปฏิเสธแล้วว่า ยังไม่ได้มีความคิดจะเก็บ VAT 2 อัตราตอนนี้ แต่ถ้าไปดูในต่างประเทศ ต้องบอกว่า มีหลายประเทศที่ไม่ได้เรียกเก็บ VAT อัตราเดียวเหมือนกันทุกประเภทสินค้าและบริการ แต่ว่าแบ่งอัตราการเก็บ VAT ออกเป็นหลายอัตรา โดยเน้นเก็บภาษีสินค้าที่เป็นพื้นฐานจำเป็นต่อชีวิตประจำวันไม่สูง แล้วเก็บแพงขึ้นกับสินค้าประเภทอื่น โดยเฉพาะสินค้าฟุ่มเฟือย

    มีข้อสังเกตอีกอย่างที่อยากบอก ก็คือ การเก็บภาษี VAT นั้น ในบางประเทศ ก็ไม่ได้ใช้ชื่อว่า VAT แต่ใช้ชื่อว่า ภาษีสินค้าและบริการ หรือ Goods and Services Tax (GST)

    มีบางประเทศที่ปรับลด VAT ลงมา หลังจากช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19  ซึ่งก็คล้าย ๆ กับไทยที่ปรับลดภาษี VAT ลงมา หลังจากมีวิกฤตต้มยำกุ้ง เพื่อหวังจะฟื้นฟูเศรษฐกิจให้กลับมาเติบโตได้

    นอกจากนี้ก็จะพบว่ามีหลายประเทศเลยที่ไม่ได้เรียกเก็บ VAT/GST ในอัตราเดียวตายตัว แต่เก็บหลายอัตรา โดยขอยกตัวอย่างการจัดเก็บภาษี GST ของอินเดีย ที่มีการเรียกเก็บกับสินค้าฟุ่มเฟือยในอัตราที่สูงมากคือ 28% แล้วกัน

    แนวการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มที่อินเดีย

    อินเดียเพิ่งจะมีการปรับเปลี่ยนอัตราภาษี GST ใหม่เมื่อต้นปี 2022 โดยจะเก็บภาษี GST ซึ่งเป็นภาษีทางอ้อม กับสินค้าและบริการหรู เช่น บริการในโรงแรม สปา และรีสอร์ท รวมถึงรถแบรนด์หรู รวมถึงสินค้าที่จัดอยู่ในกลุ่มสินค้าบาป ในอัตราสูงสุด 28%

    ขอแยกสินค้าและบริการที่ถูกจัดเก็บภาษีในอัตราที่ต่างกันในอินเดีย จากข้อมูล ณ ก.ย. 2022 เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น ดังนี้

    อัตรา GST ต่อ สินค้าและบริการ ประเภทต่าง ๆ

    ยกเว้นภาษี : ผ้าอนามัย วัตถุดิบที่ใช้ทำไม้กวาด เกลือ วัตถุดิบประกอบอาหารทั้งหมด ไข่ หนังสือพิมพ์ หนังสือภาพสำหรับเด็ก สมุดระบายสี โรงแรมทั้งหมดที่เก็บค่าห้องพักต่ำกว่า 1,000 รูปีต่อคืน รวมถึงรูปปั้นเทพเจ้า เทพธิด สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ที่ทำจากหิน หินอ่อน ไม้ ปราศจากโลหะมีค่าอย่างทองคำและเงิน

    5% : เครื่องเทศ น้ำมันพืช ขนมปัง พิซซ่า ปลา ชา กาแฟ (ที่ไม่ใช่กาแฟสำเร็จรูป) อาหารเด็ก น้ำตาล ถั่ว ขนมหวาน ผัก ยาที่จำเป็นต่อการช่วยชีวิต ปุ๋ย และธูป ร้านอาหารในโรงแรมที่คิดค่าห้องพักน้อยกว่า 7,500 รูปีต่อคืน บริการขนส่งมวลชนต่าง ๆ อาหารซื้อกลับบ้าน น้ำมันปิโตรเลียมเพื่อการขนส่ง

    12% : เนื้อสัตว์แช่แข็ง ไส้กรอกเนื้อสัตว์ น้ำผลไม้ ซอส (ไม่ใช่น้ำสลัด) เค้ก น้ำตาลต้ม ผลิตภัณฑ์ทำจากนม น้ำดื่มและน้ำมะพร้าว ตั๋วเครื่องบินชั้นธุรกิจ ตั๋วหนัง โรงแรมหรือบ้านพักที่คิดค่าห้องพัก 1,000-7,500 รูปีต่อคืน ร้านอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่ได้รับอนุญาตให้จำหน่ายสุรา

    18% : น้ำแร่ วัตถุดิบทำพาสต้า บิสกิต ขนมอบ ซุป คอร์นเฟลก ผงกะหรี่ น้ำพริกเผา ผักดอง ส่วนผสมอาหารและอาหารเสริม เครื่องปรุงรสอื่น ๆ เช่น น้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ เนยโกโก้ ไอศครีม ของกินเล่น เช่น ช็อคโกแลต หมากฝรั่ง การใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการเข้าพักจริงในโรงแรมน้อยกว่า 7,500 รูปี โรงแรมที่คิดค่าห้องพัก 2,500-5,000 รูปีต่อคืน ร้านอาหารในโรงแรมที่คิดค่าห้องพักมากกว่า 7,500 รูปีต่อคืน บริการจัดเลี้ยง บริการโทรคมนาคม และบริการไอทีอื่น ๆ

    28% : การใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการเข้าพักจริ่งในโรงแรมมากกว่า 7,500 รูปี โรงแรมที่มีค่าห้องพักเกิน 5,000 รูปีต่อคืน โรงแรม 5 ดาว ร้านอาหารระดับ 5 ดาว รถแบรนด์หรู บุหรี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์

    ถ้าดูข้างต้นก็จะเห็นชัดว่า สินค้าและบริการพื้นฐานจำเป็นในชีวิตจะถูกคิดภาษี GST ในอัตราที่ต่ำมาก ๆ และการคิดภาษี GST จะแพงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อสินค้าและบริการเหล่านั้น เริ่มไม่เข้าข่ายว่าจำเป็น คือ ไม่ซื้อก็ไม่เป็นไร หรือซื้อต่ำกว่านั้นก็ได้ แต่เต็มใจจะจ่ายแพงขึ้นเองเพื่อให้ได้สินค้าและบริการที่ดีขึ้น และอัตราภาษีก็จะขึ้นไปในระดับสูงสุดเลย เมื่อเป็นสินค้าและบริการหรูหรา

    โดยรวมแล้ว มองว่า การแบ่งเก็บภาษีไม่เท่ากัน โดยเรียกเก็บสินค้าหรูแพงกว่าสินค้าทั่วไป ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่า คนที่มีกำลังใช้จ่ายกับสินค้าหรูได้ ก็น่าจะแบกรับต้นทุน VAT ที่เพิ่มขึ้นไหว ซึ่งก็ทำให้ประเทศมีรายได้เพิ่มขึ้นด้วย ส่วนอะไรที่เป็นสิ่งจำเป็นกับชีวิต ที่คนส่วนใหญ่หรือเกือบทุกคนจำเป็นต้องมีต้องใช้ ก็ควรคิดภาษีในอัตราที่คนทั่วไปรับไหว

    แต่สิ่งสำคัญก็คือ รายได้ประเทศเพิ่มขึ้นแล้ว ควรจะนำเงินไปใช้อุดหนุนสวัสดิการ ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน หรืออะไรที่จำเป็น ที่ทำให้ประชาชนรู้สึกยินดีกับการเสียภาษี เพราะรู้สึกว่าเสียไปแล้ว ประเทศชาติได้อะไร ประชาชนในประเทศได้อะไร

    ส่วนในอนาคตไทยจะเปลี่ยนไปใช้ระบบภาษี 2 อัตรา อย่างที่ลองศึกษาอยู่รึเปล่า อันนี้ ก็คงต้องลุ้นกันต่อไป


    ข่าวอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
    ภูมิศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สำคัญอย่างไรในโลกที่เปลี่ยนแปลง
    เด็กฉลาด มีพัฒนาการทางสมองขึ้นกับหลายๆ ปัจจัย
    ราคานี้สุดคุ้ม! วิลล่าปิดดีลซื้อ คูตินโญ่ ร่วมก๊วนถาวรทางการ
    3 วิธีส่งเสริมทักษะการเข้าสังคมในเด็กบ้านๆ
    ติดตามข่าวอื่นๆได้ที่ https://www.tremollett.com/
    สนับสนุนโดย  ufabet369
    ที่มา www.moneybuffalo.in.th